การเขียนแผนการตลาดเริ่มจากการตั้งเป้าหมาย การแสดงข้อมูลสนับสนุน การอธิบายกลยุทธ์การตลาด การอธิบายตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก การอธิบายแผนและเทคนิคการตลาดต่างๆ และการสรุปข้อมูลแผนการตลาดอีกที แผนการตลาดที่ดีต้องมีความชัดเจนในกลยุทธ์และวิธีปฏิบัติ และต้องวัดผลได้อย่างแน่นอน
#1 การตั้งเป้าหมายการตลาด
ขั้นตอนแรกในการเขียนแผนการตลาด ก็คือการตั้งเป้าหมายของการตลาดครั้งนี้ คุณอาจจะเริ่มด้วยการเขียนเป้าหมายการตลาดหลายๆอย่าง ที่คุณอยากทำให้ได้ออกมาก่อน แล้วค่อยคัดเป้าหมายอีกทีตามความเป็นไปได้ หลังจากที่คุณพิจารณากลยุทธ์ต่างๆและทรัพยากรที่คุณมีอยู่แล้ว
#2 การหาข้อมูลและการสรุปข้อมูล
แผนการตลาดที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุนก็ไม่ต่างอะไรจากการคาดเดาทั่วไป วิธีที่เห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การนำเสนอข้อมูลการตลาดด้วยเครื่องมือธุรกิจต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น SWOT หรือ Porter’s Five Forces สามารถดูวิธีการทำได้จาก คู่มือการทำSWOT และ คู่มือการทำ Five Forces นะครับ
หรือถ้าคุณมีเป้าหมายการตลาดที่ชัดเจนจากข้อ 1 แล้ว คุณก็สามารถนำเป้าหมายการตลาดพวกนี้มาสรุปเป็นตัวเลขที่ชัดเจนได้อีก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าปัจจุบันยอดขายของคุณคือ 1 ล้านบาทต่อปี แล้วเป้าหมายการตลาดของปีหน้าคือ 2 ล้านบาท คุณก็สามารถนำตัวเลขต่างๆมาวิเคราะห์เพื่อหาวิธีทำให้เป้าหมายเป็นจริงได้ เหมาะสำหรับนักการตลาดสายคำนวณ
ตัวเลขการตลาดที่คนนิยมดูกันได้แก่
- ยอดขาย จำนวนขาย และกำไร
- จำนวนลูกค้าใหม่ และลูกค้าที่ซื้อซ้ำ
- ต้นทุนในการได้ลูกค้ามา (Acquisition Cost)
- งบการตลาดที่ใช้ในแต่ละช่วง
- ส่วนแบ่งการตลาดเทียบกับคู่แข่ง (Market Share)
โดยข้อมูลข้างบนเราสามารถแบ่งเป็น สำหรับแต่ละช่องทางการตลาด หรือสำหรับแต่ละสินค้าได้ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนขององค์กรคุณ
#3 อธิบายกลยุทธ์การตลาด
หลังจากที่คุณมีเป้าหมายและมีข้อมูลวิเคราะห์ต่างๆแล้ว สิ่งต่อมาที่คุณต้องทำก็คือการสร้างกลยุทธ์การตลาดที่จะทำให้เป้าหมายของแผนการตลาดของคุณเป็นจริงได้
หากเป้าหมายของคุณคือการทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 2 เท่า การนั่งอยู่เฉยๆและรอให้ลูกค้ามาซื้อเพิ่มเองก็คงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเท่าไร
ในส่วนเรื่องการสร้างกลยุทธ์การตลาด ถ้าจะให้เขียนในบทความนี้ก็คงไม่จบ ให้คุณลองพิจารณาวิธีการทำการตลาดหลายๆอย่างและเปรียบเทียบดูว่าช่องทาง วิธี กลยุทธ์แบบไหนสามารถสร้างรายได้ได้เยอะที่สุดโดยมีค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด (และถ้าในองค์กรคุณไม่มีคนที่สามารถทำได้ คุณจะสามารถหาคนอื่นมาช่วยทำได้หรือเปล่า)
เครื่องมือการตลาดที่ใช้ในการเขียนกลยุทธ์ ที่ใช้ทั่วไปมีดังนี้
4P (เหมาะสำหรับคนที่อยากนำสินค้าใหม่ลงสู่ตลาด) (วิธีการทำ 4P)
STP (เหมาะสำหรับคนที่อยากลงสินค้าใหม่ หรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ขายสินค้าเดิม) (วิธีการทำ STP)
สิ่งที่สำคัญก็คือ เราต้องไม่เขียนอธิบายกลยุทธ์แบบขอไปที กลยุทธ์การตลาดที่ดีต้องมีรายละเอียด หากคุณบอกว่าคุณจะลองการตลาดออนไลน์เพิ่ม คุณก็ต้องเขียนไปเลยว่าจะไปลงการตลาดออนไลน์ส่วนไหนเป็นพิเศษ และการทำการตลาดออนไลน์ของคุณประกอบไปด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง คุณต้องใช้ตัวเลขไหนในการวัดผล
#4 ตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPI)
หัวหน้าในที่ทำงานเก่าของผมเคยพูดว่า ‘อะไรที่วัดค่าไม่ได้ ก็ไม่มีค่าให้เราทำ’ เพราะฉะนั้นในการเขียนแผนการตลาดเราต้องสามารถหาตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (KPI) ของทุกกลยุทธ์ของเรา ยิ่งเราสามารถวัดค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ของทุกขั้นตอนได้ก็ยิ่งดี
ให้คุณนำกลยุทธ์จากข้อที่ 3 ด้านบน มาลองแยกเป็น ‘หน้าที่ปฏิบัติ ที่ต้องทำแต่ละวัน’ แล้วดูว่าแต่ละหน้าที่ มีตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักอะไรบ้าง ตัวชี้วัดประสิทธิภาพแต่ละอย่างมีความสอดคล้องกับเป้าหมายหลักของแผนการตลาดเราหรือเปล่า
เราควรตรวจสอบตัวชี้วัดประสิทธิภาพนี้ทุกอาทิตย์ทุกเดือน (บางคนดูทุกวันด้วยซ้ำ) เพื่อดูว่าแผนการตลาดของเราเป็นไปตามที่วางไว้หรือมีอะไรต้องปรับปรุงแก้ไข ยกตัวอย่างนะครับ คุณคิดว่าหัวหน้าแผนกฝ่ายขายดูยอดขายบ่อยแค่ไหน?
เช่น หากแผนการตลาดของคุณเขียนว่าจะเพิ่มยอดขายออนไลน์ผ่าน Facebook ให้ได้ หกแสนบาทต่อปี ก็เท่ากับว่าในแต่ละเดือนคุณต้องขายให้ได้หกหมื่นบาท และก็เท่ากับว่าในแต่ละวันคุณต้องขายให้ได้สองพันบาทนั่นเอง
หากคุณคิดว่าลูกค้าแต่ละคนซื้อเฉลี่ยครั้งละห้าร้อยบาท คุณก็ต้องหาลูกค้าให้ได้สี่คนต่อวัน และถ้าคุณลงให้ลึกไปอีกว่าคุณต้องมีลูกค้าคลิ๊กโฆษณาคุณสิบคนกว่าจะซื้อหนึ่งออเดอร์ คุณก็ต้องทำโฆษณาให้ได้ สี่สิบคลิ๊กนั่นเอง
#5 ตารางเวลาแผนการตลาด
หลังจากที่เรามีกลยุทธ์การตลาดและตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักแล้ว เราก็ต้องนำแผนทั้งหมดมาปะติดปะต่อดูว่าในแต่ละวัน แต่ละอาทิตย์ แต่ละเดือน หน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการตลาดมีอะไรบ้าง และใครเป็นคนรับผิดชอบถ้าผลออกมาไม่ดี
ยกตัวอย่างเช่น หากแผนการตลาดของคุณต้องการติดต่อลูกค้า 20 คนในหนึ่งเดือน ทุกเดือน และคุณต้องใช้พนักงาน 1 คนเพื่อติดต่อลูกค้า 5 คนทุกเดือน คุณก็ต้องมีพนักงานอย่างน้อย 4 คนที่ดูแลเรื่องการติดต่อลูกค้าทั้งหมด แผนการตลาดทุกอย่างมีข้อจำกัดด้านเวลาทั้งนั้น ผู้หญิง 1 คนสามารถมีลูกได้ในเวลา 9 เดือน แต่ผู้หญิง 9 คนไม่สามารถมีลูกได้ในเวลา 1 เดือน
แผนการตลาดจะชัดเจนที่สุด ถ้าคุณสามารถคำนวณได้ว่างานแต่ละอย่าง ต้องแบ่งเวลายังไงบ้าง…ปัญหาก็คือการคิดเวลาทำงานในอนาคตเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก และต้องใช้ประสบการณ์ทำงานสูง
ถ้าคุณไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน คุณก็คงไม่สามารถกะได้ว่างานแต่ละอย่างใช้เวลานานแค่ไหน…ซึ่งหากคุณมีปัญหาแบบนี้จริงๆ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการทดลองทำดูก่อน เพื่อดูว่าผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง แล้วค่อยนำมารวมในแผนการตลาดอีกทีหลังจากที่คุณมีข้อมูลพร้อมแล้ว
…ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณยังไม่รู้ว่าการทำการตลาดบน Google ใช้เวลาแค่ไหนคุณก็ควรลองศึกษาและลองทำดูก่อน ก่อนที่คุณจะนำการตลาดบน Google มาเป็นหัวใจหลักของแผนการตลาดดังนี้
#6 สรุปแผนการตลาดด้วย Executive Summary
ในตอนจบคุณก็ต้องสรุปแผนการตลาดด้วยการเขียน Executive Summary อีกที
Executive Summary ที่ดีอาจจะยาวหนึ่งย่อหน้า หนึ่งหน้า หรือสามหน้า ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้อ่านของคุณ สำหรับผมแล้วถ้าคุณสามารถเขียน Executive Summary ในหนึ่งหน้าพร้อมด้วยข้อมูลสนันสนุนนิดๆหน่อยก็น่าจะโอเคแล้ว ตัวอย่างของ Executive Summary หนึ่งย่อหน้าเขียนดังนี้ครับ
ตัวอย่าง:
เป้าหมายของแผนการตลาดนี้คือการ __(เพิ่มยอดขายให้บริษัทสองเท่า)_. ที่ผ่านมาทางบริษัทได้มีการทดลองช่องทางการตลาดออนไลน์โดย ค้นพบว่าช่องทางนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นได้ 20% เดือนต่อเดือน
เพราะฉะนั้นหากเราสามารถลงงบการตลาดผ่านช่องทางนี้เป็นจำนวน 50,000 บาทต่อเดือน เราก็จะสามารถได้ลูกค้าใหม่มากขึ้นเป็นจำนวน 10,000 คนทุกเดือน ซึ่งคิดเป็นรายได้เฉลี่ยคือ 5,000,000 บาทต่อเดือนนั่นเอง ซึ่ง 5,000,000 ต่อเดือนก็คือ 60,000,000 บาทต่อปีหรือสองเท่าของรายได้ปัจจุบันนั่นเอง
#7 แผนการตลาดที่ใช้ได้จริง
หากคุณเขียนรายงานส่งอาจารย์ หน้าที่ของคุณก็คงจบที่การเขียน Executive Summary แต่สำหรับคนที่เขียนแผนการตลาดเพื่อทำงานจริงๆ คุณก็ต้องเข้าใจว่า ไม่มีการวางแผนไหน…ที่จะตรงตามแผน 100%
หมายความว่า แผนการตลาดทุกอย่างมีโอกาสที่จะผิดพลาด และผู้ดำเนินการก็ต้องพิจารณาตัวชี้วัดประสิทธิภาพเสมอ เพื่อหาวิธีปรับปรุงแก้ไขเรื่อยๆ หากคุณดำเนินการแผนการตลาดมาแล้ว 10-20% (⅕ ของแผน) แล้วคุณรู้สึกว่า ‘ไม่น่าจะทำได้’ คุณก็คงจำเป็นต้องหาตัวช่วยหรือไม่ก็หาวิธีปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบันมากขึ้น
เรื่องของการทำงานให้เร็ว ทำให้มีประสิทธิภาพเป็นหัวข้อที่ผู้อ่านหลายคนเรียกร้องให้ผมเขียน ในส่วนนี้ผมได้ทำคู่มือ มินิอีบุ๊ค ทำงานให้เร็ว ทำงานอย่างฉลาด ที่ทุกคนสามารถโหลดได้ฟรีๆเลย คลิกตรงนี้ ครับ
การปรับเปลี่ยนแผนการตลาดไม่ใช่เรื่องแย่ ตรงกันข้ามเลยครับการยึดติดกับแผนการตลาดเดิมๆมากไปอาจทำให้คุณพลาดโอกาสทางธุรกิจหลายอย่างได้ คนที่ทำธุรกิจคงจะเข้าใจดีว่าตัวแปรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน คู่แข่ง ลูกค้า หรือเทรนด์เศรษฐกิจ ก็ล้วนเป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก็คือเราจะทำยังไงเมื่อแผนไม่เป็นไปตามแผน และเราจะต้องทำยังไงบ้างถึงจะหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดได้
Credit Source: https://thaiwinner.com/marketing-plan/
ติดต่อเราได้ที่
Website: http://surveymarketthailand.co.th/serviceth/
Facebook : https://www.facebook.com/Surveymarketth
LINE Official: https://lin.ee/n7IgL9I
หากเพื่อนๆ สนใจที่จะทำธุรกิจแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนยังไง เพื่อนๆ สามารถติดต่อหรือ Inbox เข้ามาสอบถามและใช้บริการเราได้เลยครับ