แผนธุรกิจ หรือ Business Plan หรือ นั้นเป็นเสมือนกรอบแนวทางที่ทำให้การดำเนินการธุรกิจเป็นไปตามแผนงานที่วาง เอาไว้ ทำให้ผู้ประกอบการทั่วไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหม่มีความคิดและเป้าหมายที่ ชัดเจนขึ้น ในขณะเดียวกันสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังคิดจะขยายกิจการ แผนธุรกิจก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ประกอบการตัดสินใจของผู้ร่วมทุน หรือสถาบันการเงินที่คุณต้องกู้ยืมเงินอีกด้วย
การเริ่มธุรกิจนั้น จะต้องประกอบไปด้วยทักษะ 4 ส่วนหลักๆ
1.ความพร้อมในเรื่องคุณสมบัติของการเป็นผู้ประกอบการ
2.ความรู้ในเรื่องของสินค้าและบริการที่จะทำ
3.ความรู้ในเรื่องการบริหารคน เงิน และองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
4.ความรู้ในเรื่องการวางแผนฯ
แผนธุรกิจก็คือ Roadmap ที่ต่อ Jigsaw สิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างเป็นระบบ โดยจัดทำเป็นเอกสาร…และใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารกลยุทธ์กับบุคคลที่เกี่ยว ข้องกับการดำเนินธุรกิจนั้น
แผนธุรกิจที่ดีจะต้องมองรอบด้าน ทั้งปัจจัยภายนอก (โอกาส และอุปสรรค) สภาวะการแข่งขัน (คู่แข่ง ลูกค้า Supplier) และมองที่ปัจจัยภายใน ซึ่งผลจากการมองจะช่วยกำหนดทิศทางที่ชัดเจนให้กับธุรกิจนั้นๆ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวในอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหยั่งรู้ได้…ดังนั้นแผนธุรกิจจะต้อง มีการ Update ทุกๆ 3-6 เดือน เมื่อผู้ประกอบการได้ข้อมูลใหม่ๆ ที่ทันต่อเหตุการณ์ มิใช่วางแผนธุรกิจ เพียงครั้งเดียว แล้วใช้ไปตลอด มี การรวบรวมสถิติของสาเหตุความล้มเหลวของธุรกิจ มากกว่า 90% มีสาเหตุมาจากขาดการวางแผนธุรกิจที่ดี กล่าวคือ มักจะใช้ประสบการณ์ หรือ เชื่อในประสบการณ์อย่างเดียว และละเลยการวางแผนธุรกิจ เมื่อสภาวะแวดล้อมภายนอกเปลี่ยน ก็มักจะปรับตัวไม่ทัน…
ดังนั้นถ้าใช้ประสบการณ์ + การวางแผนธุรกิจที่ดี ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในธุรกิจลงได้มาก
การเขียนแผนธุรกิจ
คือ การถ่ายทอดความคิดเป็นตัวหนังสือ ตัวเลข กร๊าฟ และแผนภาพ ในกิจกรรมที่ทำแล้วเกิดผล กำไร
ทำไมต้องเขียนแผนธุรกิจ
1.ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่จะทำได้ชัดเจน เป็นระบบ ลดข้อผิดพลาด
2.ทำให้คนอื่น (ผู้ร่วมลงทุน เพื่อนร่วมงาน ผู้สนับสนุนทุน เป็นต้น) เข้าใจว่าเรากำลังจะทำอะไร
3.เป็นแผนที่นำทางในการทำงานในอนาคต
แผนธุรกิจที่ดี เมื่ออ่านแล้วควรจะต้องสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้
1.การก่อตั้งธุรกิจเป็นรูปร่างชัดเจนขนาดไหน เสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง
2.ธุรกิจนี้น่าลงทุนหรือไม่
3.ธุรกิจที่จะทำมีแนวโน้มหรือโอกาสที่จะประสบความสำเร็จตั้งแต่เมื่อแรกตั้งมากน้อยขนาดไหน
4.ธุรกิจนี้มีความได้เปรียบหรือความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวมากน้อยเพียงใด
5.สินค้าที่จะผลิตที่มีประสิทธิภาพเพียงใด
6.สินค้าที่ผลิตสามารถวางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
7.วิธีการผลิตและการวางตลาดสินค้านั้น มีทางเลือกอื่นๆ ที่ประหยัดได้มากกว่าหรือไม่
8.หน้าที่ต่างๆ เช่นการผลิต การจำหน่าย การจัดการทางการเงิน การจัดการคน มีการจัดการที่ดีเหมาะสมเพียงใด
9.จำนวนและคุณภาพของพนักงานที่ต้องการมีเพียงพอหรือไม่
ดังนั้นการจะเขียนแผนธุรกิจจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมพร้อมขั้นพื้นฐานก่อน ดังต่อไปนี้
- บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
บทสรุปผู้บริหาร เป็นส่วนที่สรุปภาพรวมของแผนธุรกิจนั้นๆไว้ ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะเป็นส่วนที่ผู้ร่วมทุน และสถาบันการเงินจะอ่านก่อนเป็นอย่างแรก และตัดสินใจว่าจะอ่านต่อจนจบหรือไม่ ผู้ประกอบการจึงควรสละเวลาเป็นพิเศษในการทำให้บทสรุปผู้บริหารนี้น่าเชื่อ ถือ หนักแน่น และน่าติดตาม โดยเน้นหนักเรื่อง
- ลักษณะและแนวคิดของธุรกิจ
- โอกาสและกลยุทธ์หลักที่ใช้
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมายและการคาดคะเนลูกค้าเป้าหมาย
- ความได้เปรียบเชิงแข่งขันของธุรกิจ
- ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ และความสามารถในการทำกำไร
- ทีมผู้บริหาร
-ข้อเสนอผลตอบแทน (กรณีหาแหล่งทุนภายนอก)
- ประวัติย่อของกิจการ
ประวัติย่อของกิจการ เป็นส่วนที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ
-ประวัติกิจการ/ผู้ประกอบการอย่างสั้น
-สถานที่ตั้งของกิจจการของเรา
-วิสัยทัศน์ (Vision)
-ระบุสิ่งที่ใฝ่ฝันอยากให้องค์กรเป็นในอนาคตข้างหน้า
-เราคือใคร? เราจะทำอะไร? เราจะมุ่งหน้าไปที่ไหน?
-ภารกิจหลัก (Mission) หรือ พันธกิจ
-กรอบในการดำเนินงานขององค์กร
-ลูกค้าของเราคือใคร? เราจะต้องทำอะไร? ทำอย่างไร? เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า) - การวิเคราะห์สถานการณ์
การวิเคาระห์สถานการณ์ การวิเคราะห์สถานการณ์เป็นข้อมูลที่จำเป็นในการกำหนดทิศทาง กลยุทธิ์ และแผนการดำเนินงานของกิจการ จึงเป็นงานอันดับแรกที่คุณควรกระทำ เครื่องมือที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์นั้นเรียกว่า SWOT Analysis ซึ่งประกอบไปด้วยปัจจัยภายในอย่างจุดแข็ง (Strength) และ จุดอ่อน (Weaknesses) ของกิจการ รวมไปถึงโอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Threats) ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก - วัตถุประสงค์และเป้าหมายทางธุรกิจ
วัตถุประสงค์และเป้าหมายทางธุรกิจ คือ ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่กิจการต้องได้รับในช่วงระยะเวลาของแผนนั่นเอง การวางแผนเป้าหมายทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือนั้นคุณจะต้องแสดงให้เห็นความเป็น ไปได้ ที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น
-ระบุสิ่งที่จะต้องทำให้ประสบผลสำเร็จ อาจแบ่งออกเป็นวัตถุประสงค์ระยะสั้นและระยะยาวหรืออาจแบ่งออกเป็นวัตถุประสงค์ด้านการตลาด ด้านการผลิต ด้านการเงิน ฯลฯ -เป้าหมาย (Goal) ระบุตัวชี้วัดสำหรับวัตถุประสงค์ในแต่ละข้อ - แผนการตลาด
แผนการตลาด การเขียนแผนการตลาด ผู้เขียนจะต้องอาศัยการวิเคราะห์สถานการณ์ ร่วมกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายทางธุรกิจที่ได้กล่าวไปในข้อ 3 และข้อสี่ เพื่อใช้หาเป้าหมายทางการตลาด ทำการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายนั้น และสร้างกลยุทธ์ต่างๆ เช่น
-ยอดขาย (Sales Value)
-ปริมาณขาย (Sales Volume)
-ส่วนแบ่งตลาด (Market Share)
-การเจริญเติบโตของตลาด (Market Growth)
-ฐานลูกค้า (Customer Share)
-ระดับความพึงพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction)
-อัตราการกลับมาซื้อซ้ำ (Re-purchase Rate) - แผนการผลิต
การเขียนแผนการผลิตนี้ผู้เขียนจำเป็นต้องเขียนเรื่องแผนการผลิตและการ ปฏิบัติให้ละเอียด เพราะมันเป็นสิ่งที่สะท้อนความสามารถของกิจการในการจัดการกระบวนการผลิตและ ปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ที่สำคัญต้องมุ่งเน้นประเด็นการจัดการระบบการแปลงสภาพวัตถุดิบและทรัพยากรใน การผลิตให้เป็นผลผลิต ซึ่งในที่นี้คือจำนวนหรือมูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตได้นั่นเอง เช่น
-กระบวนการผลิต
-สินทรัพย์ถาวรที่ใช้ในการผลิต อายุการใช้งาน และเงินลงทุน
-กำลังการผลิตที่วางไว้
-ที่ตั้งโรงงานและการวางผังโรงงาน
-รายการวัตถุดิบ จำนวนที่ใช้ และต้นทุนวัตถุดิบ
-แรงงาน ตำแหน่งงาน คุณสมบัติของแรงงาน
-ต้นทุนแรงงาน
-ค่าใช้จ่ายโรงงาน
-สรุปต้นทุนการผลิต (นำไปปรับปรุงราคาในแผนการตลาด)
7.แผนการจัดการและแผนคน
ส่วนนี้คือการเขียนแผนผังโครงสร้างขององค์กรนั่นเอง ผู้จัดทำแผนจะต้องระบุตำแหน่ง หน้าที่ และประโยชน์ของหน่วยงานในองค์กร เช่น
-รูปแบบธุรกิจ
-โครงสร้างองค์กร (ผังองค์กร)
-ประสบการณ์ทางธุรกิจและคุณสมบัติของผู้ประกอบการ
-กิจกรรมก่อนเริ่มดำเนินการ และค่าใช้จ่าย
-ที่ตั้งสำนักงาน และสาขา (ถ้ามี)
-อุปกรณ์สำนักงาน และอายุการใช้งาน
-ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
- แผนการเงิน
แผนการเงิน แผนการเงินจะประกอบด้วยสมมติฐานต่างๆทางการเงิน เช่น
-เงินทุนที่ต้องการ (ต้นทุนโครงการ)
-แหล่งเงินทุน (แผนการลงทุนและการกู้เงิน)
-ประมาณการจุดคุ้มทุน
-ประมาณการงบกำไรขาดทุน
-ประมาณการงบดุล
-ประมาณการงบกระแสเงินสด
-การชำระคืนเงินกู้หรือการจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ลงทุน
-การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
แผนการเงินนั้นมีส่วนช่วยให้ผู้ร่วมลงทุนและสถานบันการเงินเกิดความมั่นใจ เพราะถ้าหากเราตั้งสมมติฐานทางการเงินอย่างสมเหตุสมผลเราก็จะดูน่าเชื่อถือ ในทางตรงกันข้ามถ้าเราตั้งสมมติฐานทางการเงินไม่สมเหตุสมผลก็จะทำให้เราดู อ่อนประสบการณ์ไปโดยปริยาย - แผนการดำเนินงาน
แผนการดำเนินการ คือการจัดทำรายละเอียดของกลยุทธ์แต่ละด้านให้เป็นรูปธรรมนั่นเอง ผู้ประกอบการอาจจะสร้างเป็นตารางแจกแจงให้เห็นเป้าหมาย กลยุทธ์ วิธีการ งบประมาณ และระยะเวลาดำเนินการ เป็นรายเดือนหรือรายปี เช่น
-จัดทำรายละเอียดกิจกรรมที่ต้องทำ
-แบ่งตามช่วงเวลา
-ระบุงบประมาณ
-ระบุวิธีการวัดผล ประเมินผลกิจกรรม
-ระบุผู้รับผิดชอบ - แผนฉุกเฉิน
แผนฉุกฉิน เป็นแผนสุดท้ายที่จำเป็นต้องมีเพื่อเอาไว้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่ได้ คิดไว้ล่วงหน้าหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น คู่แข่งขายสินค้าตัดราคา สินค้าถูกเลียนแบบ หรือวัตถุดิบไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้กิจการได้รับผลในด้านลบ ผู้ประกอบการควรอธิบายเรื่องความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นควบคู่กับแผนฉุกเฉิน เอาไว้ล่วงหน้า เพราะนอกจากจะได้เป็นการเตรียมการในการแก้ปัญหาแล้ว ยังทำให้ผู้ร่วมลงทุน และสถาบันการเงินเห็นความพร้อมของเราอีกด้วย